วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553


บทสุดท้ายทริปชาว-บาหลี มิตรภาพที่ยืนยาว

25/2/10 KUTA


...ผมเองห่างหายจากเวปนี้ไปนาน ก็ต้องขออภัยเพื่อนๆทุกท่านที่เคยติดตามอ่านแต่จู่ๆผมก็หยุดเอาเสียดื้อๆ ไม่มีคำแก้ตัวครับ เอาเป็นว่า ตอนนี้ผมกำลังบิ๊วอารมณ์ นึกถึงมิตรภาพความสุขและประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานอีกครั้ง

... ผมเคยเกริ่นๆตั้งแต่ก่อนจะถึงบาหลีแล้วว่า ถ้าจะพูดหรือนึกถึงบาหลีแล้ว ภาพแรกที่เห็นมันคงจะเป็นเมืองแห่งวัฒนะธรรมที่ผมเห็นในโฆษณาการท่องเที่ยว บาหลี หรือตามเวปท่องเที่ยวต่างๆเกี่ยวกับเกาะบาหลี แต่การจะได้ไปในที่นั้นๆก็คงต้องศึกษามาอย่างดี หรือไม่ก็คงให้ไกด์นำเที่ยว แต่ความเป็นจริงสำหรับผมแล้ว ผมไม่รู้จักบาหลีเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยศึกษาเรื่องราวสิ่งใดเหมือนนักเดินทางที่ดี ผมเพียงเห็นบาหลีแค่ผ่านตาระหว่างทางเท่านั้น มันเป็นการมาที่ด่วนและไร้ข้อมูลที่สุดของผมทริปหนึ่งเลยทีเดียว

... บาหลีสำหรับผม มันจึงต่างกับจินตนาการที่ผมรับรู้เรื่องราวมาบ้างเพียงน้อยนิดมาก ทริปนี้ที่บาหลี ผมเห็นแต่ชายหาดและนักโต้คลื่นมากมายที่เฝ้ารอคลื่นโหมสาดเข้าหาฝั่งลูกแล้ว ลูกเล่า ผมเห็นวัฒนธรรมแบบในหนังสือรวกๆ ตลอดรายทาง แต่ก็มากเสียจนเกินคำว่าพอใจ ผมรู้สึกเริ่มเข้าใจตนเองขึ้นมาอีกขั้น สรุปแล้วผมคงเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ถึงขนาดละเลย เพราะผมเองก็รู้ว่าการเรียนรู้อดีตก็สำคัญมากๆแต่นั่นต้องศึกษาให้รู้กัน จริงๆจังมันใช้เวลามากพอควร จะมาเที่ยวแบบฟ้าสฟู้ดแบบผมคงไม่ได้ สรุปตัวผมเอง ผมจึงชอบที่จะเรียนรู้โลกปัจจุบันมากกว่า โลกปัจจุบันมันสำคัญมากๆสำหรับคนแบบผม ผมกำลังพยายามหยิบจิ๊กซอร์ของโลกมาเรียงร้อยกัน ชิ้นเล็กๆ ทีละชิ้น วันหนึ่งแม้ผมจะไม่สามารถต่อมันได้จนเต็มใบ ผมก็หวังว่าจะเห็นแค่ความโค้งมนของมัน สักเสี้ยวหนึ่ง ก็ยังดี

... ผมบอกตัวเองว่าพอใจกับการเดินทางครั้งนี้มาก ผมได้เดินทางเพราะผมอยากเดินทาง ผมได้เดินทางกับนักเดินทางที่เหลือเชื่อในหลายเรื่อง มีวิธิคิดแบบแตกต่างจากสังคมเดิมๆของผม สายตาผมได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆโลกใหม่ๆ สดๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายมากมายของทุกสิ่ง ทั้งหมดในจากอดีตหรือปัจจุบัน แม้บางสิ่งจะรู้ความหมายได้ในภายหลัง แต่ผมตอนนี้ผมก็ได้เห็นมันสดๆ อากาศสดๆ ผมเอามือไปสัมผัสมันได้ ผมเอื้อมมือจับใบไม้แปลกๆฉ่ำฝนที่โบร์กอ ผมเอามือสัมผัสไออุ่นของปลายสุดของไฟ บนยอดภูเขาไฟ เมลาปี ผมสัมผัสแก้มของลูกเสือนักเรียนตัวน้อยๆ เมืองลาวัง หรือบางวันผมปั่นโดยมีตำรวจนำเพื่อบอกทาง และเรื่องมหัศจรรย์อื่นๆอีกนับไม่ถ้วน เรื่องเหล่านี้ผมอยากเก็บใว้บอกเล่าการเดินทางแบบนี้กับลูกหลานผมเอง ด้วยปากของตัวผมเอง ด้วยภาพที่ผมถ่ายเอง อยากบอกลูกหลานผมเองว่าโลกนี้ยังมีที่ว่างสำหรับมิตรภาพเสมอๆ บางทีผมรู้สึกว่าคนเราอยู่ใต้อิทธิพลสื่อมากเกินไป จนมันทำร้ายเราในแทบทุกๆเรื่อง บางเรื่องนอกจากมันจะไม่นำเสนอเรื่องจริงแล้ว ยังนำเสนอแบบกลับด้านซะอีก แต่ผมก็ไม่ได้กำลังบอกให้ใครใช้ชีวิตโดยประมาท หรือมองโลกแบบไร้เดียงสาจนเกินไป ผมคิดว่าผมจะมองโลกแบบที่มันเป็น ไม่เอาแล้ว ประเภท เขาเล่าว่า เขาว่างั้นนะ ผมฉุกคิดได้แค่นี้ก็สุขใจแล้วครับ

อ่านต่อที่นี่ครับ

www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=27&t=164111&start=255

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผมเคยทดสอบการใช้ชีวิตคนเดียวอย่างยาวนานพอสมควร เพื่อหลีกหนีความขลาดกลัว กลัวแม้สิ่งที่เราไม่เคยมองเห็น หรือ มองเห็นเพียงแค่ภาพถ่ายหรือคำบอกเล่า

คำตอบที่ได้ ผมไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เราไม่ได้สัมผัสเองเลย คำว่าเขาเล่าว่า แทบไม่เหลือเค้าของความจริงเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้ทุกคนกลับกลัวในคำบอกเล่า กล่าวร้ายและเกลียดชังกันได้เพียงแค่ได้ยินคำบอกเล่า และมองเห็นได้จากตู้สี่เหลี่ยมที่เราเรียกว่าทีวี สื่อต่างๆ น่าสงสารจริงๆ ผมคิดว่า เราสามารถค้นหาความจริงได้ง่ายๆเพียงเดินทางไปหามัน ค้นหาก้นบึ้งของความเกลียดชังนั้นๆในใจเรา เพื่อให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เราเลือกเกลียดนั้นมันถูกต้องแล้ว แต่ถึงเวลาถ้าเราทำแบบนั้นได้จริงๆ เมื่อเราเข้าถึงศูนย์กลางของความเกลียดชังนั้นแล้ว คนที่เราเกลียดชังมากที่สุด อาจเป็นตัวเราเอง....จงเดินเข้าไปหามัน อะไรที่เราเกลียดและกลัว และเข้าถึงมันให้ได้จริงๆ